วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

แนวทางพิจารณาเรื่องคู่ โดยวิชาทักษายุค

แนวทางพิจารณาเรื่องคู่  โดยวิชาทักษายุค
โดย อาจารย์สมชาติ  กิจยรรยง

                ในระบบของทักษามหายุค  การพิจารณาเรื่องคู่ครอง, แฟน, สามีภรรยา  ให้ดูจากแผนภูมิที่ ๓ คือ ดูจากเดือนเกิด  โดยดูจากดาวในภพปัตนิ หรือ ดาวที่เกี่ยวพันกับดาวปัตนิ (เช่น ดาวคู่ธาตุ, คู่สมบัติ กับ ดาวปัตนิ)  ซึ่งก็คงไม่ต่างจากโหราศาสตร์ภาคสุริยคติที่ให้พิจารณาในภพที่ ๗ จากลัคนา  ถัดไปก็พิจารณาภพที่ ๙  และ ๑๑ สืบต่อมา  คือ  ภพปัตนิ ภพศุภะ และภพลาภะนั่นเอง  

เพื่อสืบทอดเจตนารมย์อันดีของผู้เขียนที่อยากจะพิทักษ์วิชาโหราศาสตร์ในระบบจันทรคติที่ใช้วัน เดือน ปี ดิถี มาใช้ในการพยากรณ์เหตุการณ์ความเป็นไปในอนาคตโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ศึกษาวิชาทักษามหายุครุ่นต่อมาในระยะหลัง  ข้อเขียนชุดนี้ทุกท่านมีสิทธิวิพากษ์ วิจารณ์ได้ในแง่วิชาการ และ ความถูกต้อง  ซึ่งผู้เขียนก็ยอมรับว่าสถิติและประสบการณ์ในวงการนี้นับว่ายังน้อยอยู่  ขอฝากแนวทางในการพยากรณ์ซึ่งจะถือว่าเป็นสูตรสำเร็จหรือถือเอาเป็นตำราสำหรับท่านยังไม่ได้จนกว่าท่านจะพิสูจน์ผลการพยากรณ์จากตัวท่านเอง
                ในการพยากรณ์เรื่อง  คนที่จะเป็นคนรักกัน  คู่รักกัน  เป็นแฟนกัน  หรือครองรักครองเรือนร่วมกันเราจะดูได้อย่างไร  หรือ จะพิจารณาอย่างไรนั้น  ขอให้หลักไว้คร่าวๆ ดังนี้
๑.      ดาววาสนา ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปตรงกับ ปีเกิด เดือนเกิด ของอีกฝ่ายหนึ่ง  หรือมีวาสนาเป็นดาวเดียวกัน เช่น ผู้ที่เกิดมามีดาว ๕ เป็นวาสนา  แต่งงานอยู่กันกับคน ปีมะโรง หรือ คนเกิดเดือนห้า เป็นต้น  ซึ่งก็มาจากหลักที่ว่าผู้ที่มีดาวใดเป็นวาสนา  มักตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ คนที่มีปีเกิด หรือเดือนเกิด  ตรงกับดาววาสนานั้น

๒.    พิจารณาจากดาวปัตนิของทั้ง ๒ ดวง  ว่าสอดคล้องกันหรือไม่  เพื่อความเข้าใจง่ายขึ้นขอยกตัวอย่างเช่นคนเกิดเดือนอ้าย (๑) จะมีดาวเสาร์ (๗) คือ คนปีมะเมีย หรือคนเกิดเดือนเจ็ด เป็นดาวปัตนิหรือเป็นคู่และถ้าคนเดือนอ้ายมีดาวพฤหัส (๕) เกิดในดวงก็นับว่าสอดคล้องกับคนเกิดเดือนเจ็ด (๗)

๓.     พิจารณาจากดาวคู่ธาตุ คู่สมบัติ ที่เกี่ยวพันกับ ดาวปัตนิ  ขอยกตัวอย่าง เช่น คนเกิดเดือนอ้าย (๑) ถ้าไม่ใช่คนปีมะเมีย หรือ คนเกิดเดือนเจ็ด ซึ่งเป็นดาวเสาร์ (๗) เป็นคู่  ก็ให้ใช้ดาวคู่สมบัติ หรือคู่ธาตุของดาวเสาร์ (๗) แทนนั่นคือ ดาวอาทิตย์ (๑) กับดาวอังคาร (๓)  อันได้แก่ผู้ที่เกิดปี ชวด, วอก, ขาล, จอ หรือเดือนอ้าย  เดือนเก้า  เดือนสาม หรือ เดือนสิบเอ็ด เป็นปัตนิหรือคู่ แทนในการพิจารณา

๔.     มีดาวมนตรีซึ่งกันและกัน  หรือมีดาวเป็นคู่สมบัติกันและกัน เช่น คนปีฉลู, ระกา กับ คนปีมะเส็ง  /คนปีกุน, เถาะ กับคนปีมะแม  ข้อนี้เป็นส่วนปลีกย่อยในการพยากรณ์เท่านั้น  จะพึงยึดเป็นหลักตายตัวหาได้ไม่เพราะเป็นเพียงแต่ใช้ดาวปีเกิดมาพิจารณา  ขอให้ท่านผู้มีปัญญาจงพินิจพิเคราะห์ใช้ในโอกาสอันควร

๕.     ข้อนี้ใช้พิจารณาคู่ครองที่จะส่งเสริมชะตาให้กันและกัน  ได้แก่คู่ที่มีดาวเป็น คู่ธาตุ กันและกัน (คือเป็นบริวารและมูละกันและกัน)  ในส่วนของหลักนี้ยึดถือได้ทีเดียว  ขอยกตัวอย่างเช่น คนปีมะเมียกับชวด, วอก หรือคนวาสนาดาวอังคาร (๓) กับคนวาสนาราหู (๘)  หรือปีมะแม  ผู้เขียนเคยพบมาเป็นดังนี้  ผู้ชายเกิดปีขาล (๓) มีภรรยา เกิดปีเถาะ (๔) จะเห็นว่าคู่นี้ไม่ใช่ดาวคู่ธาตุกันแต่อย่างใด  บุตรคนแรกเกิดปีชวด  ให้หลังอีก ๗ ปี ก็มีบุตรคนที่สอง  เกิดปีมะเมีย  จะห็นว่าสามีภรรยาคู่นี้มีบุตรที่มีดาวอาทิตย์ (ชวด) กับดาวเสาร์ (มะเมีย) เป็นคู่ธาตุกันและกัน  ฐานะที่เคยตกต่ำจากที่ไม่มีสมบัติ บ้าน ที่ดิน  ก็มีบ้านและที่ดินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง  ให้หลังอีก ๓ ปีก็มีเงินซื้อหุ้นทำกิจการโรงน้ำแข็ง  สรุปว่าคู่นี้มีบุตรที่มีดาวเป็นคู่ธาตุกัน  ก็มีโอกาสรุ่งเรืองได้เหมือนกัน  อีกรายหนึ่งเป็นสตรีมาให้ผู้เขียนพยากรณ์ เกิดปีขาล  สามีเกิดปีจอ คือมีดาวดวงเดียวกัน  พอมีบุตรที่เกิดในปีมะแมเท่านั้น  ฐานะก็เริ่มดีขึ้นและเริ่มตั้งตัวได้

๖.     พิจารณาจากชื่อ ที่ใช้แทนตัวบุคคล  เคยสมมติชื่อนั้นเป็นดาว  โดยใช้หลักผสมอักษร เช่น ทูล ตรงกับดาวอังคาร (๓)  เมตตา ตรงกับดาวพฤหัส (๕)  โดยการพิจารณาว่าในแต่ละชื่อที่อยู่กินด้วยกันนั้นมีดาวเป็นคู่ธาตุหรือคู่สมบัติกันหรือไม่  หรือมีชื่อเป็นดาวดวงเดียวกันหรือไม่  เรื่องนี้ผู้เขียนขอยกตัวอย่างที่ได้รับมาเพิ่มเติมจากประสบการณ์ดังนี้คือ  ถ้าชื่อเป็นคู่ธาตุ  คู่สมบัติ กัน  อยู่ร่วมกันทำธุรกิจร่วมกัน  แม้ความเห็นจะไม่ตรงกันในบางเรื่อง  ก็มีหนทางรุ่งเรืองได้ เช่น ชื่อ นครกับวราภรณ์ (ดาว ๓ กับดาว ๗) สองท่านแต่ก่อนเป็นอาจารย์  ปัจจุบันเป็นกรรมการและรองกรรมการผู้จัดการบริษัท,  ชื่อ เสวกกับศุภนันท์ (ดาว ๔ กับดาว ๘)  คู่นี้ตอนนั้นเพิ่งแต่งงานได้ ๑ ปี ผู้เขียนยังรอผลอยู่แต่ในระยะปีนั้นซึ่งเป็นปีแรกผู้ชายได้โยกย้ายเข้าประจำการไม่ต้องเร่ร่อนเหมือนแต่ก่อน  ผู้หญิงได้รับความสบายขึ้นมากในเรื่องการทำธุรกิจ  ถ้าชื่อเป็นดาวดวงเดียวกัน เช่น ยงกิจกับนัชนี (ดาว ๕),  ประภาสกับจันจิรา (ดาว ๗),  วีระกับสุภาพ (ดาว ๕)  อยู่กินกันชะตาชีวิตก็มักดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่โลดโผน  ไม่ค่อยรุ่งเรือง  แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรมากมายก็มีแต่เพียงเรื่องระหองระแหงกันบ้างเป็นระยะเท่านั้น   อนึ่งการพิจารณาเรื่องชื่อนี้ควรดูวัน เดือน ปีเกิดเป็นหลักใหญ่บ้าง

๗.     ให้ดูดาวอายุจรเป็นหลัก หรือ ดาวจรเป็นหลัก  ข้อนี้สำคัญมากที่จะใช้เป็นครูหรือสูตรตายตัวได้เลย  เพราะใช้ทายเรื่องราวเกี่ยวกับปัจจุบัน หรือเหตุการณ์ที่มีความน่าจะเป็นในอนาคต  ซึ่งเมื่อเราใช้หลักจากข้อต้นๆ มาแล้วซึ่งนั่นเป็นพื้นฐานคร่าวๆ แต่การออกคำพยากรณ์นั้นจะใช้ข้อนี้ทำนายเป็นเกณฑ์  ในส่วนข้อนี้  ขอแยกอธิบายเป็นข้อๆ ดังนี้
ก.     พิจารณาจากอายุจรเข้าภพปัตนิ  และมีดาวปัตนิเกิดในดวงเพศตรงข้าม  เช่น ในดวงชายที่เกิดในปีกุนเดือนเจ็ด  เมื่ออายุ ๒๔ ปี  อายุจะตกที่ดาวพฤหัส (๕) ซึ่งเป็นดาวปัตนิ  เกณฑ์นี้ก็หมายความว่า อายุ ๒๔ ปีนี้จะมีแฟนหรือมีคู่ หรือคนรัก  ส่วนคนรักจะเป็นใครนั้นก็ควรได้แก่คนที่มีดาวพฤหัส (๕) ในดวงชะตาเกิด คือ คนปีมะโรง หรือ คนเกิดเดือนห้า หรือคนวาสนาพฤหัส (๕)
ข.     พิจารณาจากดวงชายหรือหญิงที่ต่างฝ่ายต่างมีดาวอายุจรเข้าภพปัตนิทั้งคู่  ยกตัวอย่างเช่น คนเกิดปีกุนหรือเดือนเจ็ด  เมื่ออายุ ๒๔ ปี  อายุตกที่ดาวพฤหัส (๕) ปัตนิ เหมือนข้อ ก. แต่งงานกับคนปีชวด เดือนยี่ เมื่ออายุ ๒๓ ปี  ซึ่งอายุจะตกที่ดาวราหู (๘) ซึ่งเป็นดาวปัตนิเหมือนกัน
ค.     ในข้อ ก. และ ข. นั้นดูดาวอายุจรเข้าภพปัตนิเป็นหลัก  ส่วนในข้อนี้พิจารณาดาวจรโดยใช้ปีจร หรือเดือนจร  มาเป็นเกณฑ์พิจารณาผสมกันก็ได้  เช่น คนเกิดเดือน ๔  พอถึงปีฉลู หรือปีระกา  ซึ่งเป็นปีที่ดาวปัตนิเกิดขึ้นจรเข้ามา ๑ ปี  ก็จะมีโอกาสพบคนรักได้  ถ้าจะถามว่าควรจะเป็นเดือนไหนก็ตอบว่า ควรจะเป็นเดือนยี่, เดือนสิบ  หรือเดือนห้า กับเดือนหก ของปีฉลู, ระกา
ง.     ใช้หลักจากข้อ ก.,ข. และ ค. ผสมกัน  ซึ่งจากหลักข้อนี้  ถ้าดาวอายุจรสอดคล้องกันกับปีจรด้วยแล้ว  ก็สามารถออกคำพยากรณ์ได้อย่างมั่นใจและเต็มปากเต็มคำว่า จะต้องพบพานแน่หรือเจอแน่ๆ เช่น คนเดือนยี่ (๒) ปีเถาะ  ช่วงอายุ ๑๗-๒๔ ปี อายุตกภูมิราหู (๘) จะตรงกับดาวปัตนิ  ในช่วงอายุนี้ (๑๗-๒๔ ปี)  ถ้าปีใดตรงกับปีมะแมด้วยแล้วก็สามารถทายได้ชัดเจน  หรือจะทายว่าถ้าไม่อายุ ๑๗ ปี  ก็อายุ ๒๑-๒๒ ปี ก็ได้เพราะอายุ ๒๑ จะตกที่ดาวอังคาร (๓) อันเป็นคู่ธาตุกับดาวราหู (๘) และอายุ ๒๒ ปี ตกดาวพุธ (๔) ซึ่งเป็นคู่สมบัติดาวราหู (๘)
จ.     พิจารณาจากเรื่องอื่นๆ ซึ่งเป็นเงื่อนไขปลีกย่อยรองๆ ลงมา เช่น  ดาวอายุจรเข้าภพปุตตะในรายที่แต่งงานแล้วก็สามารถออกคำพยากรณ์ได้ว่า  จะมีบุตรหรือจะได้รับอุปการะเด็ก หรือจะมีเด็กรับใช้ (คนรับใช้) เข้ามาในครอบครัว  แต่ในรายที่ยังเป็นโสด ก็อาจจะทายได้เหมือนกันว่า มีโอกาสมีภรรยานั่นเองเพราะการมีบุตรก็ต้องอาศัยสตรีเพศนั่นเอง  หากเป็นหญิงโสด ก็ทายในลักษณะเดียวกันนี่เอง  บางรายดาวอายุจรเข้าภพมนตรีก็มีโอกาสแต่งงานหรือพบคู่ครองได้เพราะเหตุผลการแต่งงานครั้งนี้เพื่อต้องการที่พึ่ง  ที่ปรึกษานั่นเอง

จากแนวทางการพิจารณาเรื่องนี้  ผู้เขียนไม่สามารถยกตัวอย่างดวงชะตาได้ให้ละเอียดมากกว่านี้ เพราะถ้าหากเขียนแผนภูมิทักษาลงไป  เขียนดวงภพ  ดวงชาติ  ดวงเกิด  ลงไปซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้พยากรณ์ลึกซึ้งลงไปอีก ก็เกรงว่าบางท่านจะสับสน  และก็เปลืองเนื้อที่มากๆ  อย่างไรก็ตามหากมีโอกาสผู้เขียนจะพยายามค้นดวงชะตา  คู่ครอง  ตัวอย่างสัก ๓-๔ ดวงที่แต่งงานอย่างมีพิธีมาให้ดู  พร้อมคำวิจารณ์แง่อื่นๆ 

                อีกแง่มุมหนึ่งกฏธรรมชาติ  ที่เป็นเรื่องของธรรมะ  ที่มีฝ่ายดี-ฝ่ายชั่ว  มีเกิด-มีดับ  ทุกสิ่งเป็นอนิจจัง  มีศรี  ก็มีกาลกิณี  มีการพบก็มีการจาก  มีสมหวังและไม่สมหวัง  ในคราวหน้าผู้เขียนจะให้แนวทางการพิจารณาอีกแง่มุมหนึ่งของชีวิตนั่นคือ  บุคคลที่อาภัพคู่  คำว่าอาภัพนี้หมายรวมถึง มีการพลัดพราก  หย่าร้าง  เลิกรา  ไม่มีคู่  บกพร่องเรื่องคู่ ฯลฯ  ทั้งนี้ก็สุดแต่บุญกุศลของแต่ละท่านที่ได้กระทำและสั่งสมไว้ในอดีตชาติ

                ข้อเขียนชุดนี้  ผู้เขียนจะไม่สามารถถอดคำพยากรณ์  ถอดคำบรรยายเป็นตัวหนังสือได้เลย   ถ้าหากผู้เขียนไม่ได้พบอาจารย์ผู้ประสาทวิชานี้แก่ผู้เขียน  ผู้เขียนขอกราบคารวะท่านอาจารย์สมสักก์  พิมพ์สุรินทร์ (ส. สัจจญาณ) อีกวาระหนึ่ง

อาจารย์สมชาติ กิจยรรยง

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น